top of page

5 ตำแหน่งสุดฮอตสายไอทีในปี 2024 ได้เงินเดือนเท่าไหร่ และต้องมีสกิลอะไรติดตัวบ้าง


5 ตำแหน่งสุดฮอตสายไอทีในปี 2024 ได้เงินเดือนเท่าไหร่ และต้องมีสกิลอะไรติดตัวบ้าง

X10 ขอแนะนำอาชีพสายไอทีที่มาแรง และเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก เรียกได้ว่ามีการตามหากันในทุก ๆ บริษัทสายไอทีกันเลยทีเดียว เพื่อเป็นแนวทางให้ชาวไอทีที่สนใจพัฒนาสกิลหรือทักษะที่จำเป็นในสายงาน เตรียมตัวรับโอกาสใหม่ๆที่จะเข้ามา มาดู 5 ตำแหน่งสุดฮอตพร้อมสกิลที่ต้องอัพในปี 2024 กันเลย


1. Back-end Developer 

Back-end คือ ผู้อยู่หลังบ้าน เป็นผู้พัฒนาเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันที่รับผิดชอบในการพัฒนาส่วนของระบบหลังบ้านทั้งหมด โดยจะสร้างและควบคุมดูแลระบบที่ทำงานภายในเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็น การเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล การจัดการกับข้อมูลผู้ใช้ หรือ การสร้างฟังก์ชันการทำงานต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพตรงตามที่ออกแบบไว้ 


เงินเดือนของ Back-end Developer 

เริ่มต้นอยู่ที่ 35,000 บาท ไปจนถึง 120,000 บาท



Back-end Developer 

ทักษะที่จำเป็นของตำแหน่ง Back-end Developer


1. Programming Skills

ความรู้ด้านโปรแกรมภาษาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น  Java, Golang, Python, C#.NET, หรือ Node.js สำหรับการพัฒนาหลังบ้านของ แอปพลิเคชั่น หรือเว็บไซต์ต่างๆ ควรจะมีให้พร้อม โดยที่ควรมีความเชี่ยวชาญในภาษาใดภาษาหนึ่ง และรู้ให้รอบสำหรับภาษาอื่น ๆ ที่อาจจะมีความต้องการ (Requirement) จากลูกค้า


2. Database Management

การทำระบบหลังบ้านสิ่งที่ขาดไม่ได้คือการดูแลข้อมูล ดังนั้น Back-end developer จึงมีความจำเป็นมาก ๆ ที่จะเข้าใจการทำงานของ  SQL และ NoSQL databases เช่น PostgreSQL, MySQL, MongoDB และระบบฐานข้อมูลอื่น ๆ 


3. API Development

ในปัจจุบันระบบไม่ได้อยู่เพียงระบบเดียวอีกต่อไป โดยเฉพาะในองค์กรขนาดกลางขึ้นไป ที่ระบบมันจะมีความซับซ้อน มีการใช้งานพร้อมกันหลาย ๆ ระบบ ซึ่ง Back-end developer จึงควรมีประสบการณ์ในการออกแบบและใช้บริการ RESTful และ API เพื่อให้การเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างระบบทั้งหลายเป็นไปได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีความปลอดภัย


4. Software Development Principles 

การทำงานเป็นทีมคืออีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คุณต้องมีความรู้เกี่ยวกับ Git, Agile methodologies, และ DevOps principles เพื่อให้เพื่อนร่วมทีมคนอื่นสามารถตามอัพเดทงาน พร้อมกับตรวจสอบสถานะการทำงานได้สม่ำเสมอ


5. Security and Performance

การดูแลหลังบ้านของระบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบขนาดเล็ก แอปพลิเคชั่น หรือแม้กระทั่งเว็บไซต์ มีความจำเป็นที่นักพัฒนาต้องสามารถวางโครงสร้างความปลอดภัยได้ นอกจากความปลอดภัยแล้ว Back-end developer ควรเรียนรู้เครื่องมือหรือเทคนิคในการเพิ่มประสิทธิภาพแอปพลิเคชันเพื่อประสิทธิภาพและการจัดการข้อมูลที่ปลอดภัย ซึ่ง X10 ขอแนะนำเทคนิคการจัดการข้อมูลด้วย Elasticsearch เข้ามาอ่านเพิ่มได้ ที่นี่ 


2. Front-end Developer

Front-end Developer คือ คนที่พัฒนาในส่วนหน้าบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือระบบต่างก็ต้องมีหน้าตาการใช้งานทั้งนั้น หากไม่มีผู้ใช้หรือ User ก็ไม่สามารถเข้ามาใช้งานได้ 


Front-end Developer เป็นผู้ที่รับผิดชอบในการพัฒนาส่วนที่ติดต่อกับผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นส่วนที่ผู้ใช้งานสามารถมองเห็น และสื่อสารกับระบบได้โดยตรงคอยควบคุมดูแล และสร้างเว็บไซต์ให้มีหน้าตาและใช้งานได้ถูกต้องตามที่ออกแบบไว้ 


โดยปกติแล้วในการพัฒนาเว็บไซต์ แอปพลิเคชั่น หรือระบบ ผู้ที่เป็น Back-end developer และ Front-end developer มักจะต้องทำงานควบคู่กันไปเสมอ


เงินเดือนของ Front-end Developer 

เริ่มต้นอยู่ที่ 35,000 บาท ไปจนถึง 120,000 บาท


Front-end Developer

ทักษะที่จำเป็นของตำแหน่ง Front-end Developer


1. Web Technologies

ภาษาที่ต้องรู้คือ ภาษาที่เกี่ยวข้องกับการแสดงผล ไม่ว่าจะเป็น HTML, CSS, และ JavaScript เพื่อสร้างเว็บอินเตอร์เฟส หรือหน้าจอที่ตอบสนองและสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้


2. Frameworks and Libraries 

การเขียนจอแสดงผลขึ้นเองตั้งแต่ 0 นั้นเป็นการเสียเวลามาก ๆ เนื่องจากในปัจจุบันมี Frameworks และ Libraries ที่ Front-end developer สามารถหยิบจับมาใช้งานได้แทบจะทันทีเพียงแค่ปรับแก้ให้ตรงโจทย์ ตรงความต้องการของลูกค้า 


Front-end frameworks และ Libraries ที่นิยมใช้ในการพัฒนาในปัจจุบัน อาทิ React, Angular, หรือ Vue.js เพื่อปรับปรุง Interface User


3. Responsive Design

การทำหน้าจอให้สามารถแสดงผลได้หลากหลายขนาดให้เข้ากับอุปกรณ์และขนาดหน้าจอต่างๆ ที่ใช้งานได้อย่างราบรื่นเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากปัจจุบันผู้ใช้งานไม่ได้ใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์อย่างเดียวอีกต่อไป ผู้ใช้งานโดยส่วนมากจะใช้ Multi-device หรือการใช้งานหลายหน้าจอตามช่วงเวลา และโอกาสในการทำงาน อาทิ ใช้งานบนคอมพิวเตอร์เมื่ออยู่ในออฟฟิส ใช้งานผ่านมือถือหรือแท็บเล็ตระหว่างกำลังเดินทาง ดังนั้น Front-end developer จึงควรคำนึงถึงในจุดนี้


4. Version Control

คุณต้องมีความรู้เกี่ยวกับระบบควบคุมเวอร์ชันเช่น Git เพื่อจัดการการเปลี่ยนแปลงโค้ดและทำงานร่วมกับสมาชิกในทีมได้


5. Performance Optimization

จากผลทดสอบของทาง Google กล่าวว่า หากเว็บไซต์ของคุณเปิดช้ากว่า 2 วินาที อัตราการออกจากเว็บโดยไม่ได้เข้าดู (Bound rate) จะพุ่งสูงกว่า 70% หนึ่งในหน้าที่สำคัญของ Front-end developer คือการทำอย่างให้เพื่อให้เข้าหน้าเว็บได้เร็วที่สุด และยังสามารถคงลูกเล่นต่าง ๆ ในเว็บไซต์ไว้ได้ รวมถึงความเข้าใจในมาตรฐานเว็บและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการลดเวลาในการโหลด


3. Software Tester 

Software Tester คือ ผู้ที่ทำการทดสอบคุณภาพของ software และค้นหาปัญหา ข้อผิดพลาด จุดบกพร่องให้เจอก่อนที่จะปล่อยโปรแกรมออกไปให้ใช้งานจริง เพื่อที่จะได้สามารถหาทางแก้ไขปัญหาได้ทัน และทำให้โปรแกรมที่ user จะได้ใช้งานมีความสมบูรณ์และมีปัญหาน้อยที่สุด ซึ่งรูปแบบการทำ Software Testing มีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบก็คือ Manual Testing และ Automated Testing 


เงินเดือนของ Software Tester

เริ่มต้นอยู่ที่ 25,000 บาท ไปจนถึง 80,000 บาท


Software Tester


Manual Testing 

การเทสแบบใช้คนเป็นคนเทสทั้งหมด โดยจะสมมติว่าเราเป็น User หรือผู้ใช้งานโปรแกรมนั้น ๆ และค่อย ๆ เข้าใช้โปรแกรมตั้งแต่เริ่มแรกทีละขั้นตอน โดยส่วนใหญ่แล้วการทำ Manual Testing จะมีการเขียน Test Script เพื่อใช้เป็นแผนที่สำหรับการเทส ซึ่งจะต้องมีทักษะและความสามารถ ดังนี้


1. Test Case Development

คุณต้องมีความสามารถในการพัฒนาและจัดทำ Document test case และสถานการณ์จำลองตามความต้องการและข้อกำหนดของซอฟต์แวร์


2. Exploratory Testing

คุณต้องมีความเชี่ยวชาญในการทดสอบ มีความคิดที่รอบคอบในการทดสอบ เพื่อระบุปัญหาโดยการสำรวจซอฟต์แวร์ได้ โดยไม่ต้องมีการทดสอบไว้ล่วงหน้า อย่างเช่น หากกำลังทดสอบระบบแบบหนึ่งซึ่งระบบนี้มักจะมีปัญหาการเชื่อมต่อเป็นบางจุด Software Tester ต้องสามารถหาจุดบัคที่เป็นปกตื และจุดบัคที่ไม่ปกติให้เจอให้ได้


3. Attention to Detail

ผู้ที่เป็น Software tester นั้นความละเอียดรอบคอบ และสกิลการจับผิดเป็นสิ่งที่ต้องมี เนื่องจากเป็นงานที่ต้องเก็บดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ ตลอดเวลา รวมทั้งต้องมีความสามารถในการทำงานซ้ำ ๆ โดยที่ยังสามารถหาจุดบกพร่อง และความไม่สอดคล้องกันในการทำงานของซอฟต์แวร์และหน้าอินเตอร์เฟสของผู้ใช้ 


4. Communication and Documentation

การสื่อสารเป็นสิ่งที่นักพัฒนามักจะขาด แต่การเลือกเข้ามาทำงานสาย Software Tester นั้นมีความจำเป็นที่ต้องสื่อสารกับคนอื่น หรือทีมอื่นให้รู้เรื่อง เนื่องจากคุณเป็นคนรายงานข้อบกพร่อง หรือจุดผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น การสื่อสารต้องชัดเจน ตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย เพื่อให้ทีมพัฒนาอื่นที่ทำงานด้วยเข้าใจตรงกัน 


นอกจากทักษาการพูดแล้ว ทักษะด้านเอกสารของ Software tester ก็เป็นสิ่งจำเป็น เอกสารต้องครอบคลุมสำหรับรายละเอียดขั้นตอนการทดสอบและข้อค้นพบที่เกิดขึ้น


5. Understanding of Software Development Processes

Softwear tester ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC) และวิธีการแบบ Agile เพื่อทำงานร่วมกับทีมพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพและเข้าใจบริบทของซอฟต์แวร์


Automate Testing 

คือ การ Test โดยใช้โปรแกรมเครื่องมือเพื่อทำการเข้าเทสแบบอัตโนมัติ โดยจะเป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนโค้ดขึ้นเพื่อใช้เทสระบบนั้น ๆ โดยที่ไม่ต้องใช้คนเข้ามานั่งเทสทีละขั้นตอน ซึ่งการทำ Automated Testing เมื่อเทียบกับ Manual Testing แล้วจะช่วยประหยัดเวลาและประหยัดแรงงานคนไปได้อย่างมาก แต่อาจจะต้องไปเสียเวลากับการเขียนโค้ดเพื่อสร้าง Tool โดยเฉพาะที่จะเข้ามาทำการ run test ทำให้ Automated Testing จะไม่เหมาะกับโปรเจคระยะสั้น เพราะไม่คุ้มค่ากับเวลาที่ต้องใช้ในการเขียนโค้ด


1. Automated Testing Frameworks

คุณต้องมีความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือ (Tools) และเฟรมเวิร์ก (Framework) ทดสอบอัตโนมัติ เช่น Selenium, Cypress, Appium หรือ Robot Framework สำหรับเว็บและแอปพลิเคชัน


2. Programming Skills

คุณต้องมีความสามารถในการเขียนและเมนเทนสคริปต์ทดสอบ โดยใช้ภาษาการเขียนโปรแกรมเช่น Python, Java หรือ JavaScript เป็นต้น


3. CI/CD Integration

คุณควารมีประสบการณ์ในการใช้ไปป์ไลน์การบูรณาการอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ Tools เช่น Jenkins, GitLab CI หรือ CircleCI เพื่อทำให้กระบวนการทดสอบเป็นไปอย่างอัตโนมัติ


4. Test Strategy and Design

คุณต้องมีทักษะในการพัฒนากลยุทธ์การทดสอบอัตโนมัติที่ครอบคลุม และการออกแบบการทดสอบให้ครอบคลุมการทำงาน การถดถอย และประสิทธิภาพ


5. Debugging and Problem-Solving

คุณต้องมีทักษะการ Debugging ในการวิเคราะห์ผลการทดสอบ ต้องสามารถระบุสาเหตุของความล้มเหลว และสื่อสารปัญหาไปยังทีมพัฒนาอย่างดี

 

4. Business Analyst (BA)

หน้าที่หลักของ Business Analyst  คือวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าหรือผู้ใช้งานระบบในทุกแพลตฟอร์ม ทั้งจากแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ ซึ่งต้องมีความละเอียดและแม่นยำในด้านข้อมูล เพื่อนำไปใช้พัฒนาประสิทธิภาพงานได้ถูกต้อง


BA จะต้องพูดคุยเพื่อสอบถามลูกค้า สัมภาษณ์คนใช้งานระบบ รวมทั้งต้องทำตัวเป็นผู้ใช้งานจริง ลองใช้งานเองทีละขั้นตอนและดูว่าส่วนไหนต้องปรับปรุง ส่วนไหนพัฒนาต่อได้ แล้วนำสิ่งที่ได้ไปคุยกับคนในทีม หรือส่งต่อข้อมูลที่ได้ไปยังฝ่ายต่าง ๆ ให้แก้ไข 

เงินเดือนของ Business Analyst

เริ่มต้นอยู่ที่ 45,000 บาท ไปจนถึง 120,000 บาท


Business Analyst

ทักษะที่จำเป็นของตำแหน่ง Business Analyst (BA)


1. Analytical Skills

คุณต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนเพื่อระบุแนวโน้ม ปัญหา และโอกาส และแปล Business Requirement ให้เป็น Technical Requirement ให้ได้


2. Communication and Interpersonal Skills

คุณควรที่จะต้องมีทักษะการสื่อสารที่ยอดเยี่ยมในการติดต่อประสานงานระหว่าง Partner และทีมงานเทคนิค ช่วยให้ทีมเข้าใจที่ชัดเจนในความต้องการทางธุรกิจและโซลูชั่นทางเทคนิค


3. Problem-Solving

คุณต้องมีทักษะที่ช่วยแก้ปัญหาที่ดี นอกจากการเก็บความต้องการของลูกค้า (Requirement) แล้ว BA ยังเป็นคนที่ทำงานเหมือนเป็นที่ปรึกษาให้ลูกค้า เพราะโดยทั่วไปแล้วลูกค้าจะรู้แค่ว่าตัวเองต้องการอะไร ซึ่งอาจจะมองเพียงด้านเดียว Business Analyst ที่เก่ง ๆ มักจะสามารถพูดคุยกับลูกค้าจนดึงความต้องการจริง ๆ ทั้งหมดออกมา เพื่อคิดค้นและวางแผนทำโซลูชั่นเพื่อแก้ไขปัญหาที่ลูกค้ากำลังพบเจอได้อย่างมีประสิทธิภาพ 


4. Project Management

คุณจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับหลักการและวิธีการจัดการโครงการ เช่น Agile หรือ Waterfall เพื่อจะสามารถบริหารจัดการโครงการตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้นได้


5. Technical Proficiency

คุณต้องมีความเข้าใจในระบบไอทีและกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ ตลอดจนความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือ เช่น SQL สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล และ Microsoft Office สำหรับการจัดทำเอกสารและการนำเสนอ

  

5. System Analyst (SA)

คือ นักวิเคราะห์ระบบ ทำหน้าที่ศึกษาปัญหาและความต้องการขององค์กรในการกำหนดบุคคล ข้อมูล การประมวลผล การสื่อสาร และเทคโนโลยีสารสนเทศ ว่าจะจัดการกับข้อมูลที่มีอย่างไร คำนวณอุปกรณ์ Hardware, software, network และบุคลากรให้เหมาะสมกับองค์กร


บทบาทของ SA จะเป็นเหมือนกับที่ปรึกษาทางด้านระบบ ช่วยสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ มองเห็นข้อดีข้อเสียของระบบ ทำหน้าที่ศึกษาปัญหาและความต้องการขององค์กร ในการกำหนดบุคคล ข้อมูล การประมวลผล การสื่อสาร และด้าน IT 

เงินเดือนของ System Analyst

เริ่มต้นอยู่ที่ 50,000 บาท ไปจนถึง 150,000 บาท



System Analyst

ทักษะที่จำเป็นของตำแหน่ง System Analyst (SA)


1. Technical Analysis and Design

คุณต้องมีรู้รอบในระบบที่กำลังทำ โดยส่วนใหญ่แล้ว System Analyst ที่มีประสบการณ์มักจะเลือกสายความเชี่ยวชาญการพัฒนาระบบให้อุตสาหกรรมใด ๆ เนื่องจากแต่ละอุตสาหกรรมความต้องการในการใช้งานระบบนั้นมีความแตกต่างกัน System Analyst จึงมักจะมีความสามารถในการวิเคราะห์ความต้องการของระบบและออกแบบโซลูชันด้านไอทีที่ครอบคลุมในสิ่งที่ตนเองเชี่ยวชาญ ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจของลูกค้า


2. Understanding of Software Development

คุณจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC) เช่น Agile หรือ Waterfall และกรอบการทำงาน เพื่อสามารถทำงานร่วมกับทีมพัฒนาได้อย่างดี


3. Problem-Solving Skills

คุณต้องมีทักษะการวิเคราะห์และการแก้ปัญหาที่เชี่ยวชาญเพื่อแก้ไขปัญหาของระบบ เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการ และดำเนินการเปลี่ยนแปลงระบบ นอกจากนั้นคุณมีโอกาสในการประชุมกับลูกค้าเพื่ออัพเดทโปรเจคหรือการนำเสนองานที่มักจะมีคำถามแปลก ๆ เกิดขึ้นเสมอ ทักษาการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าจึงมีความจำเป็นมาก ๆ ที่จะทำให้ความสัมพันธ์ และการทำงานระหว่างเราและลูกค้าเป็นไปได้ด้วยดี


4. Communication and Collaboration

เนื่องจาก System Analyst มีความจำเป็นในการถอดความต้องการของลูกค้าออกมาเป็นระบบ เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชั่น ดังนั้นทักษะการสื่อสารที่ยอดเยี่ยมในการแปลภาษานักพัฒนาที่เป็นเชิงเทคนิคไปให้ลูกค้าที่ไม่รู้เทคนิค รวมทั้งยังต้องสามารถแปลย้อนกลับเพื่อให้นักพัฒนาเข้าใจตรงกัน ชัดเจน เกี่ยวกับข้อกำหนดและฟังก์ชันของระบบ


5. Database and Programming Knowledge

ต้องมีความคุ้นเคยกับระบบการจัดการฐานข้อมูล (DBMS) และทักษะการเขียนโปรแกรมขั้นพื้นฐานสำหรับการสร้างสคริปต์ คิวรี และทำความเข้าใจการรวมซอฟต์แวร์ 



อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าทุกคนคงเห็นแนวทางการพัฒนาสกิลที่ควรมี รวมถึงเงินเดือนที่น่าสนใจกันบ้างแล้ว


หากคุณกำลังค้นหาโอกาสในการร่วมงานกับบริษัทใหญ่ ส่งโปรไฟล์มาที่ X10


ถ้าคุณมีทักษะหรือประสบการณ์ที่ตลาดตามหา และกำลังมองหางานใหม่ มองหาประสบการณ์ดีๆ อยากเติบโตในสายงาน IT กับบริษัทขนาดใหญ่  ส่งประวัติมาหา X10 ที่ team_recruitment@extend-it-resource.com 


X10 เราเชี่ยวชาญในการจัดหา IT Outsource ให้กับองค์กรขนาดใหญ่ที่กำลังมองหาคนทำงานสาย IT ที่มีประสบการณ์ ความรู้ และทักษะที่เหมาะสมกับการทำงานของลูกค้าของเรา 


หรือหากสนใจองค์กรคุณกำลังมองหา IT Outsource ที่พร้อมเริ่มงานติดต่อเราได้ที่


94 views0 comments
bottom of page